ในนยุคปัจจุบันการแข่งขันทางธุรกิจค่อนข้างสูงและลูกค้าสามารถเลือกบริโภคได้มากกว่ายุคสมัยก่อน เนื่องด้วยจากการเปิดกว้างของเทคโนโลยี สามารถสั่งซื้อของบนโลกออนไลน์ที่เพิ่มสูงมากขึ้น ดังนั้นการวิเคาระห์ธุรกิจเพื่อวางแผนแนวทางธุรกิจถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญเป็นอย่างมาก เราจะได้รู้จุดเด่นนและจุดด้อยของธุรกิจของเราเอง
1. วิเคราะห์ส่วน Value propositions และ Customer segment
ส่วนนี้ถือเป็นหัวใจของการเริ่มต้นทำธุรกิจเลยก็ว่าได้ เพราะมันคือการวิเคราะห์หาจุดเด่นของสินค้าหรือบริการของเรา ค้นหาว่าทำไมลูกค้าต้องเลือกเรา (Value propositions) แทนที่จะเลือกคู่แข่งเรา และการค้นหากลุ่มเป้าหมายหลักของสินค้าหรือบริการของเรา (Customer segment) เพื่อตรวจสอบดูว่าสินค้าหรือบริการของเรานั้นเป็นที่ต้องการในตลาดจริงหรือไม่ ผ่านการสังเกต สอบถามและสำรวจ
Tips: กลุ่มลูกค้าไม่จำเป็นว่าจะต้องมีเพียงแค่กลุ่มเดียว สามารถมีหลายกลุ่มได้หากสินค้าหรือบริการของเราสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้ากลุ่มอื่นได้เช่นกัน
2. วิเคราะห์ Customer Relationships
เมื่อเราได้จุดเด่นของสินค้าหรือบริการของเราและกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจนแล้ว สิ่งต่อมาคือการวิเคราะห์ว่าธุรกิจของเราควรใช้วิธีใดในการสร้างและบริหารความสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์กับลูกค้า เพื่อให้ลูกค้ารู้จักแบรนด์ของเราได้ดียิ่งขึ้น และเกิดความผูกพันธ์กับแบรนด์ของเราได้ดีมากที่สุด เพราะหากลูกค้าไว้ใจเราก็จะนำไปสู่การซื้อซ้ำและการบอกต่อ
Tips: ตัวอย่างในการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า เช่น การพัฒนาบริการหลังการขาย เมื่อลูกค้ามีปัญหากับสินค้าหรือบริการ เราสามารถแก้ไขปัญหาให้กับลูกค้าได้อย่างไรบ้าง หรือเราสามารถให้ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับสินค้าเพิ่มเติมในรูปแบบของ Content Marketing ได้อย่างไร รวมไปถึงการใช้ Social media ในการสื่อสารกับลูกค้าเพิ่มเติม
3. วิเคราะห์ Channels
การวิเคราะห์หา Channels เพื่อใช้ในการส่งมอบสินค้าและบริการให้ถึงมือลูกค้า หรือเรียกอีกอย่างว่า “ช่องทางการจำหน่าย” เราควรวิเคราะห์หาช่องทางที่ทำให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงสินค้าหรือบริการของเราได้ง่าย สะดวกและรวดเร็วที่สุด เพื่อให้ลูกค้าตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าหรือบริการของเราเป็นตัวเลือกแรก ๆ
Tips: การเลือก Channels สามารถวิเคราะห์ได้จากการทำสำรวจพฤติกรรมหรือกิจวัตรประจำวันของกลุ่มเป้าหมาย ว่าลูกค้ามีกิจวัตรประจำวันอย่างไร และสินค้าหรือบริการของเราจะสามารถเข้าไปแทรกอยู่ตรงส่วนไหนของกิจวัตรของเขาได้บ้าง เพื่อให้ลูกค้าไม่ต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อเข้าถึงสินค้าหรือบริการของเรา
4. วิเคราะห์หา Key activities, Key resources, Key partners
Key activities คือ การระบุว่าประเภทธุรกิจของเรานั้นทำธุรกิจเกี่ยวกับอะไร มีสินค้าอะไรบ้าง การผลิตสินค้าหรือการได้มาซึ่งบริการนั้นมาอย่างไร มีขั้นตอนอะไรบ้าง
Key resource หรือ ทรัพยากรหลักของธุรกิจ สำหรับการทำธุรกิจสิ่งที่จะช่วยให้เราเหนือกว่าคู่แข่งได้อีกทางหนึ่งคือการมี “ทรัพยากร” ที่ดี ซึ่งทรัพยากรที่พูดถึงนั้นไม่ได้หมายถึงแค่วัตถุดิบหรือเครื่องมือเท่านั้นแต่รวมไปถึง “ทรัพยากรมนุษย์” ด้วย ซึ่งการวางตำแหน่งและแบ่งหน้าที่ชัดเจน จะช่วยให้คุณมองเห็นทิศทางในการทำธุรกิจของคุณได้ง่ายยิ่งขึ้น
Key partners หรือหาบริษัทคู่ค้าหลักของคุณที่จะเป็นพันธมิตร ที่จะมาสนับสนุนซึ่งกันและกัน ช่วยให้ธุรกิจของคุณทั้งคู่มีข้อตกลงพิเศษที่เหนือกว่าคู่แข่งคนอื่นๆ เช่น ด้านต้นทุนของสินค้า (Cost structure)
5. วิเคราะห์ Revenue stream และ Cost structure
ส่วนสุดท้ายในการวิเคราะห์คือเรื่องของการเงิน ซึ่งเป็นอีก 1 ใน 3 เหตุผลสำคัญที่สุดที่ทำให้ธุรกิจล้มเหลวเลยก็ว่าได้ ในส่วนนี้จะแบ่งการวิเคราะห์เป็นฝั่งของรายได้หรือ Revenue stream คือดูว่าธุรกิจของคุณจะมีรายได้เข้ามาได้จากช่องทางไหนได้บ้าง ไม่ใช่เพียงแค่การขายสินค้าหรือบริการ เช่น รายได้จากการโฆษณา หรือการให้เช่าอื่น ๆ และอีกส่วนคือการวิเคราะห์รายจ่าย หรือต้นทุนของสินค้าหรือบริการ (Cost structure) ว่ามีต้นทุนจากอะไรเป็นหลัก การวิเคราะห์ในส่วนนี้จะทำให้เรามองภาพรวมออก และรู้ได้ว่าเราเสียเงินไปกับต้นทุนอะไรบ้างและควรจะลดต้นทุนในส่วนไหนได้บ้าง
ขอขอบคุณแหล่งที่มา : https://www.hubbathailand.com/hubba-blog/5-steps-before-bmb?gclid=Cj0KCQjwg7KJBhDyARIsAHrAXaEi065EP5_Ss360HocBYstE1pWZgNI_BWPZ_0vBUbIa5ObarNcqn5gaAseyEALw_wcB
コメント